ประวัติมูลนิธิ

            เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นมงคลวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงรับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาจารึกภาษาตะวันออก) จากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โดยความร่วมมือของนักศึกษาและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยศิลปากรได้จัดพิมพ์จำหน่ายหนังสือรวมพระฉายาลักษณ์ นำเงินรายได้ทูลเกล้าฯ ถวายเป็นกองทุนเริ่มแรกสำหรับเก็บดอกผลเพื่อพระราชทานเป็นทุนการศึกษาแก่เยาวชนผู้ขัดสน ตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งได้ทรงพระกรุณา พระราชทานชื่อทุนว่า"ทุนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา"

ต่อมาได้มีผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคสมทบเพิ่มขึ้น เห็นควรขยายโครงการทุนพระราชทานเพื่อการศึกษาให้มั่นคงกว้างขวางขึ้นจึงดำเนินการจดทะเบียนเงินกองทุนดังกล่าวขึ้นเป็นมูลนิธิ และได้รับพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อว่า "มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา"ตามชื่อทุนเดิมที่ได้รับพระราชทานแล้ว ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับเป็นองค์อุปถัมภ์ของมูลนิธิฯ ด้วย

มูลนิธิฯ ได้เริ่มให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนและนักศึกษาทุกระดับที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ตั้งแต่ประถมศึกษาถึงระดับอุดมศึกษา โดยเริ่มให้ทุนมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๕ จนถึงปัจจุบัน ได้ให้ทุนการศึกษาไปแล้วกว่าสองหมื่นทุน เป็นเงินกว่าสองร้อยล้านบาท

กองทุนมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา มีรายได้จากการบริจาคและการจัดพิมพ์พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ ออกจำหน่าย และจากสิ่งพิมพ์อื่น ๆ ที่จัดทำโดยมูลนิธิฯ เช่น นามานุกรมวรรณคดีไทย ตราแผ่นดิน ตราราชสกุลและสกุล อักษรพระนาม และนามย่อ เป็นต้น

วัตถุประสงค์ในการตั้งมูลนิธิฯ

card-image
เพื่อให้ทุนอุดหนุนการศึกษา แก่ผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ทุกระดับการศึกษา
card-image
เพื่อร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่น ๆ เพื่อสาธารณประโยชน์
card-image
เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ ด้วยการจัดพิมพ์หนังสือ จัดทัศนศึกษา หรือจัดกิจกรรมอื่น ๆ ที่เป็นการเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ
card-image
ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้อง กับการเมืองแต่ประการใด

พระนามและรายนามคณะกรรมการ

พระนามและรายนามคณะกรรมการ มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา (ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี)

meeting.png
ภาพการประชุมกรรมการมูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ครั้งที่ 1/2565 วันที่ 23 พฤษภาคม 2565

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์อุปถัมภ์

ลำดับรายนามคณะกรรมการตำแหน่ง
1

ท่านผู้หญิงนราวดี

ชัยเฉนียน

ประธานกรรมการ
2

นายธารินทร์

นิมมานเหมินท์

รองประธานกรรมการ
3

คุณหญิงแสงเดือน

ณ นคร

กรรมการ
4

รศ.คุณหญิงสุมณฑา

พรหมบุญ

กรรมการ
5

คุณหญิงกษมา

วรวรรณ ณ อยุธยา

กรรมการ
6

นายเดโช

สวนานนท

กรรมการ
7

นายสุวัฒน์

เงินฉ่ำ

กรรมการ
8

นายสมศักดิ์

วิราพร

กรรมการ
9

นายทรงฤทธิ์

รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

กรรมการ
10

นายสมเกียติ

ชอบผล

กรรมการ
11

นางโฉมฉาย

เหล่าสุนทร

กรรมการและเหรัญญิก
12

นางวัลลิยา

ปังศรีวงศ์

กรรมการและผู้ช่วยเหรัญญิก
13

ศ.เกียรติคุณ คุณหญิงไขศรี

ศรีอรุณ

กรรมการและเลขานุการ
14

รศ.จิรัสสา

คชาชีวะ

กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

คุณหญิงชวลี

อมาตยกุล

กรรมการกิตติมศักดิ์

นางชญานุตม์

อินทุดม

กรรมการกิตติมศักดิ์

นางสาวอรวรรณ

แย้มพลาย

กรรมการกิตติมศักดิ์

ตราสาร

มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา

                                                                   หมวดที่ 1 
                                                   ชื่อ เครื่องหมาย และสำนักงานที่ตั้ง
ข้อ 1    มูลนิธินี้ชื่อว่า “ มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา” 
          ย่อว่า ม.ส.ท. 
          เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า PRINCESS MAHACHAKRI SIRINDHORN FOUNDATION 
          ย่อว่า P.M.S. FOUNDATION 
          มีคำขวัญว่า “เพื่อการศึกษาของชาติ” 
ข้อ 2    เครื่องหมายของมูลนิธินี้ คือ อักษรย่อ ม.ส.ท. ข้อความ “มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา” 
          อยู่ในแถบแพร ภายใต้อักษรย่อ และประกอบขึ้นเป็นรูปทรงจอมแห 
ข้อ 3    สำนักงานของมูลนิธิตั้งอยู่ที่ เลขที่ 37/2 ซอยเจริญใจ แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา 
          กรุงเทพมหานคร 


                                                                   หมวดที่ 2 
                                                                วัตถุประสงค์
ข้อ 4    วัตถุประสงค์ของมูลนิธินี้ คือ 
          4.1 เพื่อให้ทุนอุดหนุนการศึกษาแก่ผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ทุกระดับการศึกษา 
          4.2 เพื่อร่วมมือกับองค์การการกุศลอื่น ๆ เพื่อสาธารณะประโยชน์ 
          4.3 เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการด้วยการจัดพิมพ์หนังสือ จัดทัศนศึกษาหรือจัดกิจกรรมอื่น ๆ 
                ที่เป็นการเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ 
          4.4 ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด 


                                                                   หมวดที่ 3 
                                        ทุนทรัพย์ ทรัพย์สิน และการได้มาซึ่งทรัพย์สิน 
ข้อ 5    ทรัพย์สินของมูลนิธิมีทุนจดทะเบียนเริ่มแรก คือ เงินสดเป็นทุนเริ่มแรก จำนวน 100,000 บาท 
ข้อ 6    มูลนิธิอาจได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยวิธีต่อไปนี้ 
          6.1 เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่น ๆ โดยมิได้มีเงื่อนไขผูกพันให้
                มูลนิธิต้องรับผิดชอบใน หนี้สินหรือภาระติดพันอื่นใด 
           6.2 เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้ 
           6.3 ดอกผลซึ่งเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ

                                                                   หมวดที่ 4 
                                             คุณสมบัติ และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ 
ข้อ 7     กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติดังนี้ 
            7.1 มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ 
            7.2 ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ 
            7.3 ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ 
ข้อ 8     กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ 
            8.1 ถึงคราวออกตามวาระ 
            8.2 ตายหรือลาออก 
            8.3 ขาดคุณสมบัติตามตราสารข้อ 7 
            8.4 เป็นผู้มีความประพฤติและปฏิบัติตนเป็นที่เสื่อมเสียและคณะกรรมการมูลนิธิมีมติให้ออก 
                 โดยมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของ คณะกรรมการมูลนิธิ 

                                                                   หมวดที่ 5 
                                           การดำเนินงานของคณะกรรมการมูลนิธิ 
ข้อ 9     มูลนิธินี้ดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิมีจำนวนไม่น้อยกว่า 9 คน แต่ไม่เกิน 15 คน 
           ประกอบด้วยประธานกรรมการมูลนิธิ รองประธานกรรมการมูลนิธิ เลขานุการมูลนิธิ เหรัญญิก และ
           ตำแหน่งอื่น ๆ ตามแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร 
ข้อ 10   ในวาระเริ่มแรกให้คณะกรรมการผู้ริเริ่มจัดตั้งมูลนิธิเป็นผู้เลือกตั้งคณะกรรมการดำเนินงานของ             
           มูลนิธิขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วย ประธานกรรมการมูลนิธิ และกรรมการอื่น ๆ ตามจำนวนที่
           เห็นสมควรตามตราสาร 
ข้อ 11    วิธีเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิให้ปฏิบัติดังนี้ ให้คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่ เลือกตั้ง
           ประธานกรรมการมูลนิธิ และกรรมการอื่น ๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามตราสาร 
ข้อ 12    กรรมการดำเนินงานมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี 
ข้อ 13    เพื่อให้การดำเนินงานของมูลนิธิได้เป็นไปโดยติดต่อกันเมื่อคณะกรรมการดำเนินงานของมูลนิธิ
           ได้ปฏิบัติหน้าที่มาครบ 2 ปี (ครึ่งหนึ่งของวาระการดำรงตำแหน่ง) ให้มีการจับสลากออกไป 
           1 ใน 2 ของจำนวนกรรมการมูลนิธิที่ได้รับเลือกเป็นกรรมการดำเนินงาน ของมูลนิธิครั้งแรก 
ข้อ 14    การเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิ ให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็นมติ
           ของที่ประชุม 
ข้อ 15    กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ หรือโดยการจับสลากในวาระแรก อาจได้รับเลือกเข้า
           เป็นกรรมการมูลนิธิได้อีก 
ข้อ 16   ถ้าตำแหน่งกรรมการมูลนิธิว่างลง ให้คณะกรรมการมูลนิธิที่เหลืออยู่ตั้งบุคคลอื่นเป็นกรรมการ    
          มูลนิธิแทนตำแหน่งที่ว่าง กรรมการมูลนิธิผู้ได้รับการตั้งซ่อมอยู่ในตำแหน่งเท่าวาระของผู้ที่ตนแทน

                                                                   หมวดที่ 6 
                                              อำนาจหน้าที่คณะกรรมการมูลนิธิ 
ข้อ 17    คณะกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจการของมูลนิธิตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และ
            ภายใต้ข้อบังคับตราสารนี้ ให้มีอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 
            17.1 กำหนดนโยบายของมูลนิธิ และดำเนินการตามนโยบายนั้น 
            17.2 ควบคุมการเงินและทรัพย์สินต่าง ๆ ของมูลนิธิ 
            17.3 เสนอรายงานกิจการ รายงานการเงินและบัญชีงบดุล รายได้-รายจ่ายต่อกระทรวงมหาดไทย
            17.4 ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิและวัตถุประสงค์ของตราสารนี้ 
            17.5 ตราระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของมูลนิธิ 
            17.6 แต่งตั้งหรือถอดถอนคณะอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่งหรือหลายคณะ เพื่อดำเนินการเฉพาะอย่าง
                   ของมูลนิธิภายใต้การควบคุมของ คณะกรรมการมูลนิธิ 
            17.7 เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ หรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นพิเศษเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์เชิญ
                   ผู้ทรงเกียรติเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิ 
            17.8 เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิ 
            17.9 แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่ประจำของมูลนิธิ มติให้ดำเนินการตามข้อ 17.7, 17.8 
                   และ 17.9 ต้องเป็นมติเสียงข้างมากของที่ประชุมและที่ปรึกษา ตามข้อ 17.8 ย่อมเป็นที่      
                   ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิที่เชิญเท่านั้น 
ข้อ 18    ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ดังนี้ 
            18.1 เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ 
            18.2 สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ 
            18.3 เป็นผู้แทนของมูลนิธิในการติดต่อกับบุคคลภายนอกและในการการทำนิติกรรมใด ๆ 
                   ของมูลนิธิหรือการลงลายมือชื่อในเอกสาร ตราสาร และสรรพหนังสืออันเป็นหลักฐานของ    
                   มูลนิธิ และในอรรถคดีนั้น เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิหรือผู้ที่ทำการแทน หรือ กรรมการมูลนิธิ  
                   2 คน ได้ลงลายมือชื่อแล้วจึงเป็นอันใช้ได้ 
            18.4 ปฏิบัติการอื่น ๆ ตามตราสารและมติของคณะกรรมการมูลนิธิ 
ข้อ 19    ให้รองประธานกรรมการมูลนิธิทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิ เมื่อประธานไม่สามารถปฏิบัติ  
             หน้าที่ได้ หรือในกรณีที่ประธาน มอบหมายให้ทำการแทน 
ข้อ 20    ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิและรองประธานกรรมการมูลนิธิไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการประชุม
            คราวหนึ่งคราวใดได้ ให้ที่ประชุม เลือกตั้งกรรมการมูลนิธิคนใดคนหนึ่งเป็นประธานสำหรับ
            การประชุมคราวนั้น 
ข้อ 21    เลขานุการมูลนิธิมีหน้าที่ควบคุมกิจการ และดำเนินการประจำของมูลนิธิ ติดต่อประสานงานทั่วไป
            รักษาระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิ นัดประชุมกรรมการตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิ และ
            ทำรายงานการประชุม ตลอดจนรายงานกิจการของมูลนิธิ 
ข้อ 22    เหรัญญิกมีหน้าที่ควบคุมการเงิน
            ทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและเป็นไปตามระเบียบที่ 
            คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด 
ข้อ 23    สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่น ๆ ให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด โดยทำเป็นคำสั่ง 
            ระบุอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน 
ข้อ 24    คณะกรรมการมูลนิธิมีสิทธิเข้าร่วมประชุมกรรมการ หรืออนุกรรมการอื่น ๆ ของมูลนิธิได้ 


                                                                  หมวดที่ 7 
                                                                อนุกรรมการ 
ข้อ 25   คณะกรรมการมูลนิธิอาจแต่งตั้งหรือถอดถอนอนุกรรมการได้ตามความเหมาะสม โดยจะแต่งตั้งให้
            เป็นคณะอนุกรรมการประจำ หรือเพื่อการใดเป็นกรณีพิเศษเฉพาะคราวก็ได้ และในกรณีที่
            คณะกรรมการมูลนิธิไม่ได้แต่งตั้งประธานอนุกรรมการ เลขานุการ หรืออนุกรรมการในตำแหน่งอื่นไว้
            ก็ให้อนุกรรมการแต่ละคณะแต่งตั้งกันเองดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้ 
ข้อ 26    อนุกรรมการอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะเสร็จงานที่ได้รับมอบหมายให้กระทำ ส่วนคณะอนุกรรมการ
            ประจำอยู่ในตำแหน่ง ตามเวลาที่ คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ก็ให้อยู่ใน
            ตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระของคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งและ อนุกรรมการที่พ้นจาก
            ตำแหน่งอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้ 
            26.1 อนุกรรมการมีหน้าที่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมาย 
            26.2 อนุกรรมการมีหน้าที่เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการมูลนิธิเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย

                                                                   หมวดที่ 8 
                                               การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ 
ข้อ 27   คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำปีทุก ๆ ปี ภายในเดือนมิถุนายน และต้อง
            มีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุม อย่างน้อยกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม 
ข้อ 28    การประชุมวิสามัญอาจมีได้ในเมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือเมื่อคณะกรรมการมูลนิธิตั้งแต่ 
            2 คนขึ้นไป แสดงความประสงค์ ไปยังประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทน ขอให้มีการประชุม
            ก็ให้เรียกประชุมวิสามัญได้ 
ข้อ 29    กำหนดการประชุมและองค์ประชุมของคณะกรรมการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิจะกำหนด
            ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ในส่วนที่ เกี่ยวข้องกับกำหนดการประชุมให้คณะอนุกรรมการตกลงกันเอง และ
            ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์ประชุมให้ใช้ ข้อ 27 บังคับโดยอนุโลม 
ข้อ 30    ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการหากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
            มติของที่ประชุมให้ถือเอาคะแนน เสียงข้างมาก ในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่
            ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด กิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อย ประธานกรรมการมูลนิธิ 
            มีอำนาจสั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติทางหนังสือแทนการเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ แต่ประธาน
            กรรมการ มูลนิธิต้องรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิในคราวต่อไปถึงมติและกิจการที่ได้
            ดำเนินการไปตามมตินั้น กิจการใดเป็นงาน ประจำ หรือเป็นกิจการเล็กน้อยหรือไม่ ย่อมอยู่ใน
            ดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิ 
ข้อ 31    ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการ ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือประธานที่
            ประชุมมีอำนาจเชิญหรืออนุญาตให้ บุคคลที่เป็นสมควรเข้าร่วมประชุมในฐานะแขกผู้มีเกียรติ หรือผู้
            สังเกตการณ์หรือเพื่อชี้แจงหรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้ 

                                                                   หมวดที่ 9 
                                                                     การเงิน 
ข้อ 32    ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือรองประธานกรรมการมูลนิธิ ในกรณีที่ทำหน้าที่แทน มีอำนาจสั่งจ่าย
            เงินได้คราวละไม่เกิน 200,000 บาท ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าว ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ
            มูลนิธิโดยเสียงข้างมาก เว้นแต่กรณีจำเป็นและเร่งด่วนให้อยู่ในดุลพินิจ ของประธานกรรมการมูลนิธิ
            ให้จ่ายได้แล้วต้องรายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป 
ข้อ 33    เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดได้ครั้งละไม่เกิน 100,000 บาท 
ข้อ 34    เงินสดของมูลนิธิให้นำฝากไว้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินหรือนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทยหรือ
            พันธบัตรรัฐวิสาหกิจหรือจัดการอย่าง หนึ่งอย่างใดที่มีหลักฐานประกันมั่นคงตามที่คณะกรรมการ
            มูลนิธิฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ 
ข้อ 35    การสั่งจ่ายเงินโดยเช็คหรือตั๋วสั่งจ่ายเงิน จะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิหรือรอง
             ประธานกรรมการกับเลขานุการ หรือเหรัญญิกลงนามทุกครั้ง จึงจะเบิกจ่ายได้ 
ข้อ 36    ในการใช้จ่ายเงินของมูลนิธิ ให้จ่ายเพียงดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุนของมูลนิธิ 
            และเงินที่ผู้บริจาคมิได้แสดงเจตนาให้เป็นเงิน สมทบทุนโดยเฉพาะ 
ข้อ 37    ให้คณะกรรมการมูลนิธิวางระเบียบเกี่ยวกับการเงิน การบัญชีและทรัพย์สินของมูลนิธิตลอดจน
            กำหนดอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ เกี่ยวกับ การรับและจ่ายเงินนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ 
ข้อ 38    ให้มีผู้สอบบัญชีของมูลนิธิ ซึ่งคณะกรรมการมูลนิธิเห็นชอบและแต่งตั้งจากบุคคลที่มิใช่กรรมการ
             หรือเจ้าหน้าที่อื่นของมูลนิธิ โดยจะให้ ดำรงตำแหน่งกิตติมศักดิ์ หรือได้รับค่าตอบแทนอย่างไร
             สุดแต่ที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิจะกำหนด 
ข้อ 39    ผู้สอบบัญชีมีอำนาจหน้าที่ตรวจบัญชีของมูลนิธิ และรับรองบัญชีงบดุลประจำปีที่คณะกรรมการ
            มูลนิธิจะต้องรายงานต่อกระทรวง มหาดไทย ผู้สอบบัญชีมีสิทธิตรวจสอบบัญชีและเอกสารที่
            เกี่ยวข้อง ตลอดจนสอบถามกรรมการมูลนิธิและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิในเรื่อง ใด ๆ ที่เกี่ยวกับการเงิน
            การบัญชี และเอกสารดังกล่าวได้ 

                                                                   หมวดที่ 10 
                                                       การแก้ไขเพิ่มเติมตราสาร 
ข้อ 40    การแก้ไขเพิ่มเติมตราสารจะกระทำได้โดยเฉพาะที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องมีกรรมการ
            มูลนิธิเข้าประชุมไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนกรรมการทั้งหมด และมติให้แก้ไข หรือเพิ่มเติม
            ตราสารต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวน กรรมการที่เข้าประชุม 

                                                                   หมวดที่ 11 
                                                                 การเลิกมูลนิธิ 
ข้อ 41    ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการ หรือโดยเหตุใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของ
            มูลนิธิที่เหลืออยู่ให้ยกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ “ มูลนิธิสายใจไทย ” ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด 
ข้อ 42    การสิ้นสุดของมูลนิธินั้นนอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิต้องให้
            ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุต่อไปนี้ 
            42.1 เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้วไม่ได้รับทรัพย์สินตามคำมั่น
            เต็มจำนวน 
            42.2 เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้ในตราสาร 
            42.3 เมื่อกรรมการมูลนิธิจำนวน 2 ใน 3 มีมติให้ยกเลิก 
            42.4 เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ หมวดที่ 12 บทเบ็ดเตล็ด 
ข้อ 43   การตีความในตราสารของมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัย ให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากของ
            จำนวน กรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด 
ข้อ 44    ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิมาบังคับใช้ ในเมื่อตราสาร
            ของมูลนิธิมิได้กำหนดไว้ 
ข้อ 45     มูลนิธิต้องไม่ดำเนินการหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน หรือเพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการ
             ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง 
--------------------------------------------------------
                                                                                                                                                                                                                                                             2 มีนาคม 2563